026 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๒๖

ได้เน้นถึงเรื่องศรัทธา แล้วก็ได้ขยายความ ถึงคำว่าศรัทธา ให้เป็นภาษาไทย เป็นความหมาย ให้ลึกซึ้งขึ้นไป จาก อาฬวกสูตร ให้ฟังมากขึ้นแล้วว่า ศรัทธานั้น จะต้องเกิด ประกอบกับความจริง ประกอบกับธรรมะ ที่เราเรียกว่า สัจจะ ศรัทธาประกอบกับธรรมะ ประกอบกับสัจจะ ประกอบกับปัญญา

จะมีความเชื่อถือ เชื่อมั่น ก็เพราะว่าเราเอง เราทำความรู้ เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วเราก็เอามา ปฏิบัติ ประพฤติ พิสูจน์ จนเกิดขึ้น ทรงขึ้น จนเป็นความรู้ ความเห็น ที่เป็นตัว ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นตัวรู้ ตัวเห็นจริง สิ่งที่มัน เกิดจริง มันเป็นจริง มันมีจริงขึ้นมา แล้วเราก็จะเห็นว่า อันนี้เป็นจริง หรือไม่จริง จะได้รับความรู้ จะได้รับอารมณ์ จะได้รับผลอย่างไรๆ เราก็จะรู้ ตามความเป็นจริง

ปัญญา จะต้องเกิดปัญญา อย่างลึกซึ้งอีกว่า เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะยินดี หรือไม่ยินดี เราก็จะรู้

เพราะฉะนั้น เรามีความศรัทธา ที่เราจะศรัทธา จนกระทั่ง จะข้ามพ้นฝั่ง จนกระทั่ง จะข้ามอรรณพได้ ด้วยความไม่ประมาท เราจะล่วงทุกข์ได้ ด้วยความเพียร เราเอง เราจะบริสุทธิ์ ได้ด้วยปัญญาอีก จะเห็นความบริสุทธิ์ จะเห็นความหมด ความเกลี้ยง ด้วยปัญญา สิ่งเหล่านี้ เริ่มต้นมีศรัทธา ความเชื่อ ด้วยความเห็น ความรู้ แล้วจึงมีศรัทธา ด้วยการพากเพียรปฏิบัติ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความทำให้เกิดขึ้น ทรงขึ้น จนเป็นจริง แล้วก็มีปัญญารู้เห็น ตลอดระยะทาง ว่าเราได้จริง มีจริง เป็นจริง มีผล เป็นอย่างไร มีรสที่เป็นรส อันเลิศล้ำ ที่เรียกว่า เป็นสัจจะ เป็นรส ได้รับรสนั้นอย่างจริง เราก็ต้องเป็น ผู้รู้เองว่า เป็นรสอันเลิศ เป็นรสอันวิเศษ กว่าเราเป็น อย่างที่เราเคยเป็น อย่างอื่นอยู่ พอเรามาเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็มีรส รับรสเอง ด้วยสัจจะ ที่เรามีนั้นๆ

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ เราจะต้อง พิสูจน์ด้วยตน ฟังความอธิบาย ฟังความหมาย ฟังก็ฟังไป แล้วก็วิจัย วิจารณ์ วิเคราะห์ เลือกเฟ้น เอาที่ตัวเองเห็น ตัวเองมั่นใจ แล้วก็พิสูจน์ จนเป็นจนมี

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะได้ปัญญา เริ่มต้นก็ฟังจาก ผู้ที่มีผลจริง อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านแนะ เพราะถ้าผู้ใด เชื่อธรรมะ ของพระอรหันต์ เพื่อไปนิพพาน แล้วเราฟังธรรมด้วยดี เราก็จะได้ปัญญามา เมื่อเราได้ปัญญา ตัวปัญญาตัวนี้ เป็นสัมมาทิฏฐิ จากพระอรหันต์ ที่ท่านจะอธิบาย ท่านชี้แนะ ไปในทิศทางที่จะเจริญ จะเป็นไปด้วยดี ซึ่งเราก็จะเป็นผู้ที่ มาลองประพฤติ มาลองปฏิบัติ มาลองพิสูจน์ จนกระทั่ง เราสามารถได้รับ จะเรียกว่าสมบัติ จะเรียกว่าทรัพย์ แต่ว่าสมบัติหรือทรัพย์ ที่พระพุทธเจ้า ท่านส่งเสริมนั้น ท่านส่งเสริม ในสมบัติ ที่เป็นคุณสมบัติ ทรัพย์ที่เป็น อริยทรัพย์ มากกว่า

ทรัพย์โลกมันก็ได้ด้วย ถ้าปฏิบัติถูกต้องตรง เป็นผู้ที่มีประมาณอันน้อย อะไรๆ ก็รู้จัก ประมาณ อันน้อยลงไป หรือว่า ทำให้ละเอียด ทำให้แยบคายลงไป เราก็จะเป็น ผู้ที่ได้ทรัพย์ ซึ่งมันตรงกันข้าม กับความรู้สึกคนโลกๆ ว่าเราเป็นผู้มักมาก เป็นผู้โลภมาก แล้วเราจะได้ทรัพย์มาก มันต่างกัน มันค้านแย้งกันอยู่ ในปัญญา ที่ผู้ใด มีปัญญาดีๆแล้ว ถึงจะรู้ ถ้าปัญญาไม่ดีแล้ว ค้านแย้งกัน เราเป็นคนมักน้อย เราเป็นคน ละเอียดแยบคาย เราจะได้ทรัพย์ เราจะได้อริยทรัพย์ เราจะได้คุณสมบัติ ที่มากที่สูง ที่เจริญ ที่เลิศ ที่ประเสริฐขึ้น วิจักขโณ เรามีปัญญา เป็นเครื่องสอดส่อง มีวิจัยวิจารณ์ เรามีการกระทำ ที่จัดแจง ปรับปรุง ให้มันดูเหมาะดูสม เป็นการกระทำ ที่เหมาะเจาะ ที่เรียกว่า ปฏิรูปการี เรามีจริงๆ ปฏิรูป การงาน การกระทำ กิจกรรม อะไรแล้วแต่ เราต้องมี การปฏิรูป มีการพัฒนา มีการทำให้ดี ให้เจริญ มีการเอาใจใส่ เอาการเอางาน ไม่ทอดธุระ

มีธุรวา มีการไม่ทอดธุระ มีการ เอาการเอางาน จริงๆ มีความเพียร มีอุฏฐานะ มีความขยัน หมั่นเพียร ถ้าเรามี อย่างนี้จริงแล้ว เราย่อมได้ อริยทรัพย์ ย่อมได้คุณสมบัติ หรือแม้แต่วัตถุสมบัติ วัตถุทรัพย์ก็ได้ ได้ด้วย ถ้าทำถูก ดังที่กล่าวนี้ เป็นผู้ที่ ไม่โลภโมโทสัน สะสมไป ขยันหมั่นเพียร วิจัยวิจารณ์ ทำให้เหมาะ ทำให้เจาะ พยายามไม่ทอดธุระ เอาการเอางาน ขยัน หมั่นเพียรจริงๆ สมบัติทางโลกก็ได้ โดยเฉพาะ สำคัญที่สุดก็คือ สมบัติทางธรรม ที่เราจะสามารถทำได้ เป็นผู้เจริญ

สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่จะต้อง ศึกษาซ้ำซ้อน ให้เห็น และให้เป็น และให้มี เป็นสัจจะ แล้วเราจะได้ เกิดศรัทธา ในสัจจะต่างๆ เหล่านั้น มันทรงขึ้น มันตั้งมั่น แล้วมันได้สละ ได้ล้าง ได้จาคะ สิ่งที่เราควร ละล้างออก นั่นเอง อะไรละได้ ล้างได้ เราก็จะไม่หวงแหน เราก็จะยินดีซ้ำว่า เราปลดปลง เราปลดปล่อย เราได้สละ ได้การสละ แล้วเรายินดีการสละ แล้วเราเกิดเชื่อมั่น ในการสละนั้นๆ ว่าสละออกได้แล้ว มันเป็นความวิเศษ ละล้าง ปลดปล่อย จางคลาย หมดไปจากตน จากตัวได้ มันเป็นความวิเศษ มันเป็นเรื่อง ที่จะต้อง ศึกษากันจริงๆ อบรมล้างกัน จริงๆ แล้วคุณจะได้ศรัทธา ในสัจจะที่คุณเป็น คุณมีจริงๆ

แต่การปฏิบัติก็อย่างที่สรุปแล้ว ดังที่ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ได้สรุปว่า เราจะปฏิบัติ ให้เกิดสัจจะนั้น จะต้อง มีการฝืนการข่ม จะต้องมีการสู้ทน จึงจะสละได้ ถ้าผู้ใดถอย อดทนสู้จริงๆ ไม่ใช่สู้อย่างด้านๆ ดื้อๆ เฉยๆ แล้วไม่ได้มรรค ได้ผลอะไรนะ ยิ่งฟังมาก รู้มาก เข้าใจมาก แต่ไม่ได้ปฏิบัติ มีทมะ ขันติ มีจาคะอะไร ไม่มีการสละได้ ล้างได้ ละได้ มันก็ไม่ถอย อยู่อย่างนั้นเฉยๆ มันไม่มีสัจจะแท้ แล้วมันก็ไม่มี จาคะจริง เพราะเรา ไม่มีทมะ เราไม่มีการฝืน ข่มสู้ ไม่มีการอดทนอะไร มันอ่อนแอ เหยาะแหยะ กิเลสนิด กิเลสน้อย ก็แพ้มัน ผู้นั้นตายเปล่าๆ ไม่ได้สัจจะอะไร จะกี่ช้านาน ยังไงก็แล้วแต่ ก็จะเลี่ยงๆ หลบๆ ก็จะร่องๆ แร่งๆ อยู่ไปอย่างนั้นเอง

เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรา ได้สอดส่องดูกัน คนที่เป็นตัวอย่าง ก็มีอยู่ เห็นได้ เห็นจริงๆ เป็นคนเหยาะแหยะ ไม่เอาการเอางาน ไม่เอาธุระ ไม่แข็งแรง ไม่สู้ทน ไม่ข่ม ไม่ฝืน ไม่กล้าหาญ ร่องๆ แร่งๆ ลอยๆ ล่องๆ อยู่อย่างนั้นแหละ เห็นได้เลย เราไม่ได้จ้าง เราไม่ได้วานหรอก เราจะเห็นนะ เป็นตัวอย่าง อย่างซึ่งเป็นตัวอย่าง ไปในทางไม่ดีนะ เป็นตัวอย่าง เป็นประโยชน์แก่เรา อย่างนั้นแหละ อยู่ไปลอยๆ ล่องๆ สั่งสม สิ่งที่อ่อนแอ ของตนเอง ทำกิจ ทำกรรม ทำกิริยา ทำอะไรต่ออะไรให้เห็น ซึ่งมันเหยาะแหยะ เต็มที

ขนาดที่เราสู้ ทน ข่ม ฝืน กัดอกกัดใจสู้ มีทมะ มีขันติ ขันตี ปรมัง ตโป ตี ติกขา มีความเพียรพยายาม ที่จะมี การสู้ไม่ถอย มีการอดทน มีการข่มฝืน มีการพากเพียร อุตสาหะ วิริยะ มันยังได้กัน ขนาดนี้ๆ

และผู้ใด ได้กระทำ ให้แก่ตนจริง มีความพากเพียรจริง อุตสาหะ วิริยะจริง พยายามไม่แพ้ ต่อกิเลสง่ายๆ ชนะ คุณจะเป็น ผู้พบสัจจะเอง และคุณนั่นแหละ จะเป็นคนศรัทธา และศรัทธานี้ ศรัทธาในสัจจะ ในธรรมะ ที่มีจริง เป็นจริง เห็นด้วยตน มีปัญญารู้แจ้ง รู้ชัด ไม่ใช่งมงายเลย ผู้พิสูจน์เท่านั้น และผู้มีจริงเท่านั้น จึงพบ ความจริง เหล่านี้

สาธุ.